คำสำคัญ Culture Clash

เจค ซัลลี่ อดีตนายทหารเรือผู้พิการที่ต้องนั่งบนรถเข็น แต่เจคก็ยังมีหัวใจนักรบ เขาได้รับเลือกให้ร่วมเดินทางไปยังดาวแพนโดรา ที่ซึ่งมีเหมืองแร่ล้ำสำคัญในการแก้ปัญหาพลังงานขาดแคลนของโลก และเพราะชั้นบรรยากาศของดาวแพนโดราเป็นพิษต่อมนุษย์ พวกเขาจึงต้องพัฒนาโปรแกรมอวตาร เพื่อแปลงสภาวะจิตของคนให้ไปอยู่ในร่างอวตาร และให้ควบคุมร่างกายได้ในภาวะอากาศที่เบาบาง ร่างอวตารนี้เป็นส่วนผสมทางพันธุกรรมของดีเอ็นเอมนุษย์และดีเอ็นเอจากสิ่งมีชีวิตบนดาวแพนโดรา ที่มีชื่อเรียกว่า “นาวี” ในร่างอวตาร เจค สามารถเดินได้อีกครั้งหนึ่ง และมีภารกิจต้องแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มนาวี ชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นอุปสรรคสำคัญของชาวโลกในการเข้าถึงเหมืองแร่ แต่นาวีสาวสวยชื่อ นีย์ทิรี้ ได้ช่วยชีวิตเจคไว้และแผนการทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง เจคได้เข้าร่วมชนเผ่าของเธอ เขาได้ผ่านการทดสอบและการผจญภัยต่างๆ จนได้เป็นหนึ่งในกลุ่มนั้น ความสัมพันธ์ของเจคและนีย์ทีรี้เริ่มลึกซึ้งขึ้น พร้อมๆ กับความนับถือในกลุ่มนาวี ในที่สุดเขาต้องพบการทดสอบและความขัดแย้งที่จะตัดสินชะตากรรมของโลก

นายพลอลาดีน (ซาชา บารอน โคเฮน) ผู้ปกครองจอมเผด็จการฝั่งแอฟริกาเหนือ เขาเป็นผู้นำสาธารณรัฐวาดิยาที่ซึ่งเขาไม่ยอมให้ประชาธิปไตยมากล้ำกราย มันไม่มีวันเกิดขึ้นได้ตราบใดที่เขายังคงเป็นผู้นำอยู่ แต่เมื่อถูกเรียกตัวให้ไปเข้าร่วมการประชุมกับสหประชาชาติที่สหรัฐอเมริกา อลาดีนไม่รู้ว่าชีวิตและประเทศของเขาต้องกลับตาลปัตร อลาดีนถูกลักพาตัวและถูกโกนหนวดเคราจนไม่มีใครจำได้ไม่มีใครเชื่อว่าเขาคือผู้นำประเทศ เขาจึงกลายเป็นคนเร่ร่อนในถิ่นต่างแดนแต่อลาดีนได้รับความช่วยเหลือจาก โซอี (แอนนา ฟาริส) หญิงนักต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อสังคม เธอเสนองานและที่พักให้เขา ซึ่งเขาเองก็ไม่มีทางเลือกที่จะปฏิเสธเพราะเขาไม่ใช่นายพลอลาดีนคนเดิมที่ใครๆรู้จักอีกต่อไป แต่ในระหว่างที่อยู่อเมริกาอลาดีนพยายามสืบต้นตอว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังแล้วเขาก็ค้นพบว่าคนนั้นคือทาเมีย (เบน คิงสลีย์) ลุงผู้ไม่น่าไว้ใจของเขานั่นเอง งานนี้อลาดีนต้องทำทุกวิถีทางเพื่อยึดอำนาจคืนมาจากลุงให้ได้

แดฟเน่สาวน้อยชาวอเมริกันผู้รักอิสระพบความจริงว่าพ่อที่แท้จริงของเธอคือนักการเมืองชื่อดังเชื้อสายขุนนางแห่งลอนดอนและเมื่อแดฟเน่เดินทางไปอังกฤษเพื่อพบพ่อเรื่องวุ่นๆ ของการปรับตัวจึงเกิดขึ้น

Salvatore "Sal" Fragione เป็นเจ้าของร้านพิซซ่าชาวอิตาลีในบรู๊คลิน Buggin' Out ชาวเมืองละแวกนั้นรู้สึกไม่พอใจเมื่อเห็นว่า Wall of Fame ของร้านพิซซ่าจัดแสดงเฉพาะนักแสดงชาวอิตาลีเท่านั้น Buggin' Out เชื่อว่าร้านพิซซ่าในย่านคนผิวสีควรจัดแสดงเฉพาะนักแสดงผิวสี แต่ Sal ไม่เห็นด้วย กำแพงดังกล่าวกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเหยียดเชื้อชาติและความเกลียดชังต่อ Buggin' Out และคนอื่นๆ ในละแวกนั้น และความตึงเครียดก็เพิ่มขึ้น

หนุ่มฮ่องกง ถังหลง เดินทางไปโรมเพื่อช่วยเหลือเพื่อนของเขา อาซิง ลูกสาวถูกคุกคามโดยแก๊งค์อันธพาลเจ้าถิ่นที่ต้องฮุบธุรกิจภัตตาคารที่ครอบครัวเธอทำอยู่ไว้เอง หลังจากที่ ถังหลง เดินทางไปถึงไม่นานนัก เขาก็ได้พบกับเหล่านักเลงปลายแถวในภัตตาคารของเพื่อน และกำลังบังคับให้เธอเซ็นต์สัญญายกร้านให้แก่พวกมัน พวกมันต่างขบขันท่าทางเตรียมตัวต่อสู้ในแบบกังฟู ถังหลงที่อยู่ในอารมณ์โกรธจึงเข้าไปจัดการพวกมันพร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงฝีมือการต่อสู้อันยอดเยี่ยมของเขา เหล่าหัวหน้าแก๊งค์เกรงกลัวการมาของถังหลง จึงวางแผนที่จะลอบสังหารเพื่อกำจัดเสี้ยนหนามไป เมื่อแผนการล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ผู้นำของเหล่าอันธพาลจึงว่าจ้างแชมป์คาราเต้จากประเทศอเมริกาเพื่อจัดการ ถังหลง โดยตรง ถังหลง พบกับนักสู้อเมริกันในโคลีเซียม และเข้าห้ำหั่นกันเหมือนเหล่ากลาดิเอเตอร์ที่กระหายความตายที่อยู่ตรงหน้า

หญิงสาวชาวอินเดียแดงนาม โพคาฮอนทัส ที่มีนิสัยซุกซนรักอิสระ และมีมนุษยธรรม เธอได้ตกหลุมรักชาวผิวขาวต่างเผ่าพันธุ์อย่างสมิธ เรื่องราวเล่าถึงสมัยที่อังกฤษกำลังหาอาณานิคม นำโดยแรทคลิฟฟ์ที่ละโมบหวังว่าจะมาขุดหาทองในดินแดนใหม่ และกัปต้น จอห์น สมิธทั้งหมดเดินทางมาถึงดินแดนใหม่ ซึ่งเป็นชุมชนของชาวอินเดียนเผ่าพาวฮะทาน เจ้าของดินแดนซึ่งอยู่กันอย่างสงบสุขโพคาฮอนทัส ธิดาของหัวหน้าเผ่า ได้ค้นพบเรือสำเภาที่นำชาวอังกฤษมาที่นี่ และเกิดความสนใจจึงเฝ้าติดตามพวกกลุ่มคนผิวขาว จนกระทั่งได้พบกับจอห์น สมิธ กลายเป็นความผูกพัน บทเพลงแห่งความรักถักทอ แต่เพราะความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย ทั้งโพคาฮอนทัสและจอห์น สมิธพยายามหาวิธียุติสงคราม (เพราะสู้ยังไงฝ่ายโพคาฮอนทัสก็แพ้อยู่ดี ฝ่ายอังกฤษมีกำลังติดอาวุธที่ทันสมัย)

เรื่องราวของการเรียนรู้/วิวัฒนาการ/เติบโตของอิสตรีเพศ จากที่เคยต้องก้มหัวทำตามรับคำสั่งจากบุรุษ ค่อยๆเรียนรู้จักความกล้า จนสามารถตั้งมั่นตัดสินใจ เลือกทำบางสิ่งอย่างตามเสียงเพรียกเรียกร้อง สัญชาติญาณของตนเอง

สองหัวใจเหงาเดินทางมาโตเกียว หนึ่งคือภรรยาที่สามีช่างภาพไม่ใส่ใจ อีกหนึ่งคืออดีตดาราดังรุ่นใหญ่ที่ตกอันดับ ทั้งสองต่างเฝ้าหาการยอมรับและการปลอบโยนเมื่อได้พบกัน

นักข่าวสาวที่จะไปทำข่าวเรื่องจระเข้ที่ว่านายพรานไมเคิล เจ ครอกโคไดล์ ดันดี (Paul Hogan) ได้เข้าต่อสู้กับจระเข้เพื่อเอาชีวิตรอดจนเป็นที่เลื่องลือ ด้วยความสนใจเกี่ยวกับตัวนายดันดีที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างจึงเดินทางไปทำข่าวเขียนสกู๊ปชีวิตเรื่องการเอาชีวิตจากการจู่โจมจระเข้อย่างไม่ทันตั้งตัว ซึ่งหลังจากพบนายดันดีแล้วก็พาเข้าป่าเพื่อชี้จุดที่โดนจระเข้ทำร้ายพร้อมกับเล่าเรื่องดำเนินชีวิตในป่า แน่นอนว่าพล็อตเรื่องธรรมดาจืดสนิทไม่มีอะไรที่ดูแปลกประหลาดแถมยังจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ แต่ต้องบอกก่อนว่าอะไรที่ดูธรรมดาของเรื่องนี้มีหลายอย่างที่พิเศษ

หนังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปลายยุค 1940 s เมื่อคุณนาย Daisy Werthan หญิงหม้ายสูงอายุชาวยิวเข้าสู่วัยชราเกินกว่าจะขับรถไปไหนมาไหนด้วยตัวเองได้ค่อไป ทำให้ Boolie ลูกชายต้องตัดสินใจจ้าง Hoke Colburn คนผิวสีมาขับรถให้

Kang's Family; Migrant Wives, Local Husbands (Chinese: 外来媳妇本地郎 is a Cantonese sitcom produced by Guangdong Radio and Television. Filming began on April 18, 2000, and has been broadcast on GRT Pearl River Channel since November 4, 2000, with two episodes on Saturdays and Sundays at 19:00. It is the longest-running and most frequently aired sitcom in Chinese television history. As of May 15, 2021, the show has aired more than 4,000 episodes.

Detective Matthew Sikes, a Los Angeles police officer reluctantly works with "Newcomer" alien George Francisco. Sikes also has an 'on again off again' flirtation with a female Newcomer, Cathy Frankel.

Hey, Jeannie! is an American situation comedy starring Jeannie Carson as a young Scottish woman living in New York City. Twenty-six episodes aired on CBS from September 8, 1956 to May 4, 1957 in the Saturday slot following The Gale Storm Show and preceding the western series Gunsmoke. Six additional episodes aired in 1958 in syndication. Reruns of Hey, Jeannie! aired during the summer of 1960 under the title The Jeannie Carson Show.

Xiao Peng follows his grandpa’s instructions to claim back their estate, the property in which Ji Xiang lives in. But instead of completing his duty, he falls head over heels for the beautiful and kind-hearted Ji Xiang. As their feelings deepened, the inevitable happened: Xiao Peng’s arranged fiance comes. Soon, one obstacle stumbles upon another. And a great shock greets them: Xiao Peng and Ji Xiang are cousins...

Seven British construction workers escape Britain's ever growing dole queues and travel to Germany to work on a site in Dusseldorf. We follow their trials and tribulations of working away from home and away from the women they left behind.

The Byrds of Paradise is an American television series .The hour-long drama centers on a father and his three children, abruptly relocated to Hawaii from New Haven after the sudden death of the children's mother. Much of the show dealt with the titular Byrd family adjusting to their lives in an entirely new environment as they recovered from their loss, similar to the premise of the later Everwood.

The escapades of a trio of stoner anti-establishment characters and their cat who wake up from a 50-year nap after smoking a magical strain of weed in 1969, and must adjust to life with a new family in present-day San Francisco.

Little Miss Jocelyn is a British TV sketch comedy written by and starring Jocelyn Jee Esien. The show is made up of studio sketches and hidden camera footage in which unsuspecting members of the public become part of a sketch. The series ran for 2 series from 22 August 2006 until its cancellation on 14 February 2008. 12 episodes aired whilst a 13th episode was never broadcast for unknown reasons but is featured as a bonus extra on the Series 2 DVD. In 2007, Esien featured in Girls Aloud and Sugababes' Comic Relief video for "Walk This Way", where she puts a parking ticket on Ewen Macintosh, a reference to the character Jiffy from the show Little Miss Jocelyn.

Goodness Gracious Me is a BBC English language sketch comedy show originally aired on BBC Radio 4 from 1996 to 1998 and later televised on BBC Two from 1998 to 2001. The ensemble cast were four British Indian actors, Sanjeev Bhaskar, Kulvinder Ghir, Meera Syal and Nina Wadia. The show explored the conflict and integration between traditional Indian culture and modern British life. Some sketches reversed the roles to view the British from an Indian perspective, and others poked fun at Indian stereotypes. In the television series most of the white characters were played by Dave Lamb and Fiona Allen; in the radio series those parts were played by the cast themselves. The show's title and theme tune is a bhangra rearrangement of a hit comedy song of the same name. The original was performed by Peter Sellers and Sophia Loren reprising their characters from the 1960 film The Millionairess. The show's original working title was "Peter Sellers is Dead", but was changed because the cast generally liked Peter Sellers. In her 1996 novel Anita and Me, Syal had referred to British parodies of Asian speech as "a goodness-gracious-me accent". One of the more famous sketches featured the cast "going out for an English" after a few lassis. They mispronounce the waiter's name, order the blandest thing on the menu and ask for twenty-four plates of chips. The sketch parodies often-drunk English people "going out for an Indian", ordering chicken phall and too many papadums. This sketch was voted the 6th Greatest Comedy Sketch on a Channel 4 list show.

A look back at the social movements, revolts and youth subcultures from the post-war period to the present day: after the World War II, the left-bank of Paris became a mecca for jazz and alternative living, youth culture was born with trailblazing American movies, and rock became the soundtrack to a generation that wanted to change everything.

Follows the lives and struggles of four generations Australian Aboriginal women from the 1820s to the 1980s.

After a decades-long absence, a renowned Parisian tailor and drag queen returns to his hometown in Poland to make amends with his daughter.

Wushu is one of the most representative symbols of Chinese culture. Today, hundreds of millions of people around the world are practicing martial arts, experiencing eastern wisdom and the true meaning of martial arts. So how did martial arts spread abroad? What opportunities and challenges do generations of martial artists face in their overseas promotion?